"ซื้อแอร์ยี่ห้อไหนดี?" เลือกแอร์ หรือเครื่องปรับอากาศอย่างไรให้คุ้มค่า ประหยัดไฟ ทนทาน และไม่ต้องมีปัญหามาให้กวนใจ เป็นคำถามที่พบบ่อยสำหรับคนที่กำลังเลือกซื้อแอร์ใหม่ แอร์ยี่ห้อดัง ๆ ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน และเลือกตัวแทนจำหน่ายเครื่องปรับอากาศที่น่าเชื่อถือก็สามารถทำให้เรามั่นใจได้ระดับหนึ่ง ทั้งนี้แอร์ทุกยี่ห้อทุกรุ่นก็มีข้อดี มีจุดเด่น และประสิทธิภาพที่ต่างกันไป จึงควรพิจารณาหลาย ๆ ด้านก่อนตัดสินใจ
ขอแนะนำแนวทางในการเลือกซื้อแอร์ให้ตรงกับความต้องการใช้งาน ให้คุ้มค่า และประหยัดไฟ มากที่สุด
1. เลือกประเภทของแอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
แอร์สำหรับการใช้งานโดยทั่วไป สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ
1.1 แอร์สำหรับบ้านพักอาศัย ซึ่งเป็นเครื่องปรับอากาศแบบติดผนังขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับการใช้ตามบ้านเรือน คอนโด ออฟฟิศขนาดเล็ก หรือใช้ติดตั้งในห้องขนาดเล็ก ส่วนใหญ่เป็นแอร์ติดผนัง เพราะติดตั้งและดูแลรักษาง่าย หรือแอร์ตั้งพื้น ที่สามารถนำแอร์ไปวางได้ในพื้นที่ที่หลากหลาย สามารถทำความเย็นได้รวดเร็ว
1.2 แอร์เชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ สามารถแบ่งย่อยได้อีกหลายรูปแบบ เช่น แบบฝังฝ้า ซึ่งติดตั้งอยู่บนตัวฝ้าของเพดาน มีการปล่อยความเย็นออกมาจากตัวแอร์ 4 ทิศทาง เป็นต้น เหมาะสำหรับใช้กับสำนักงาน ร้านค้า ร้านอาหาร หรือภายในอาคารที่มีพื้นที่กว้างขวาง
2. เลือกขนาดของแอร์ให้เหมาะสม เลือก BTU ให้ถูกต้องกับขนาดของห้องที่เราจะติดตั้ง
ขนาดแอร์ก็เป็นอีกหลักเกณฑ์หลักในการเลือกแอร์ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ซึ่งหน่วยวัดขนาดของแอร์นั้นเรียกว่า BTU/h โดยสามารถวัดได้ว่าแอร์เครื่องนั้นมีความสามารถในการดึงความร้อนออกจากห้องได้กี่ BTU ต่อชั่วโมง (1 BTU เท่ากับปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ 1 ปอนด์มีอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 องศาฟาเรนไฮด์ หรือ 0.56 องศาเซลเซียส)
จำนวนของ BTU ที่ควรเลือกใช้นั้นขึ้นอยู่กับขนาดของห้อง (ความกว้าง x ยาว) และตัวแปรต่างๆ เช่น ห้องโดนแดดหรือไม่โดนแดด ความสูงของเพดานห้อง จำนวนคนในห้อง เป็นต้น การเลือกแอร์ที่มี BTU ต่ำไป จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักตลอดเวลาเพื่อคงอุณหภูมิให้ได้ตามที่ตั้งไว้ จึงเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานและทำให้เครื่องเสียเร็ว ส่วนการเลือกแอร์ที่มี BTU สูงไปก็ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ เพราะยิ่ง BTU สูง เครื่องก็ยิ่งมีราคาแพงและกินไฟมาก
3. เลือกแอร์ที่ประหยัดพลังงาน
ไม่ว่าจะซื้อแอร์ยี่ห้อไหนก็ตาม ควรเลือกแอร์ หรือเครื่องปรับอากาศที่ได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 โดยฉลากไฟเบอร์ 5 นั้นเป็นระดับที่ประหยัดไฟมากที่สุด รวมทั้งแอร์ที่มีค่า EER หรือ SEER สูงโดยค่า EER คือ ค่าประสิทธิภาพแอร์ในการใช้พลังงาน วัดจากความสามารถในการทำความเย็น (BTU/h) ต่อกำลังไฟที่ใช้ไป (W) ยิ่งแอร์มีค่า EER สูงก็ยิ่งกินไฟน้อย
ส่วนค่า SEER คือ ค่าประสิทธิภาพการใช้พลังงานตามฤดูกาลของเครื่องปรับอากาศ พูดง่ายๆ ก็คืออากาศภายนอกมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของแอร์ ซึ่งใช้วัดกับแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) โดยถ้าค่า SEER สูง ก็ยิ่งกินไฟน้อยเช่นกัน
ปัจจุบัน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 โฉมใหม่ ที่เรียกกันว่า เบอร์ 5 ติดดาว โดยแบ่งเกณฑ์ประสิทธิภาพเป็น 4 ระดับได้แก่ เบอร์ 5 / เบอร์ 5 1 ดาว / เบอร์ 5 2 ดาว / เบอร์ 5 3 ดาว โดยจำนวนดาวยิ่งมาก ยิ่งประหยัดไฟ
นอกจากนี้แล้ว แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถปรับเพิ่มหรือลดความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์ได้ตามอุณหภูมิห้อง ก็ช่วยทำให้ประหยัดพลังงานได้มากกว่าแอร์ธรรมดา และให้อุณหภูมิที่คงที่มากกว่า
4. เลือกช่างแอร์ที่มีความเชี่ยวชาญ
แอร์ที่คุณใช้งานจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ 50% และการติดตั้งอีก 50% ดังนั้นช่างติดตั้งเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญมาก ควรเลือกช่างติดตั้งที่ได้รับการอบรมด้านการติดตั้งและบำรุงรักษาจากบริษัทแอร์แต่ละยี่ห้อโดยตรงเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการติดตั้งที่ได้มาตรฐาน
5. เลือกการบริการหลังการขายที่ดี
เลือกการบริการหลังการขายที่ดี แน่นอนว่าไม่มีใครอยากใช้การบริการหลังการขายเพราะนั่นหมายความแอร์ของคุณมีปัญหา ซึ่งผู้ซื้อที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์กับบริการหลังการขายอาจเลือกได้ยากว่าแบรนด์ไหนดี ให้ดูรีวิวจากผู้ใช้งานจริงตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ โดยให้พิจารณาจากบริษัทแอร์ที่มีศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ ให้บริการรวดเร็ว สุภาพ ตรงต่อเวลา พร้อมแก้ปัญหาจบในการเข้าหน้างานครั้งเดียว
แอร์ถือเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของคนไทยมาก เพราะความร้อนที่ไม่เป็นสองรองใครของบ้านเรา ทำให้แอร์มีความสำคัญต่อการใช้ชีวิต ทั้งที่ทำงาน และที่บ้าน การทำความรู้จัก และเข้าใจคำศัพท์ต่างๆเกี่ยวกับแอร์ น่าจะช่วยให้ง่ายต่อการหาข้อมูลสำหรับการเลือกซื้อ หรือการซ่อมบำรุงเครื่องปรับอากาศของเพื่อนๆมากขึ้น วันนี้เพาเวอร์บายจึงคัดมาเน้นๆ 10 คำศัพท์น่ารู้เรื่องแอร์ ที่จะช่วยให้เพื่อนๆทุกคนได้อัพเกรดความคูลขึ้นไปอีกระดับ รับรองว่าอ่านจบจนครบทุกข้อ การเลือกซื้อแอร์ที่ดีมีคุณภาพจะกลายเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับทุกคน
1. BTU (British Thermal Units)
ขนาดห้อง ตร.ม |
ห้องนอน |
ห้องทำงาน |
||
ไม่โดนแดด |
โดนแดด |
ไม่โดนแดด |
โดนแดด |
|
9-12 |
7,000 |
8,000 |
8,000 |
9,000 |
13-14 |
8,000 |
9,000 |
9,000 |
11,000 |
15-17 |
9,500 |
11,000 |
11,000 |
13,500 |
18-20 |
12,000 |
13,500 |
13,500 |
16,500 |
21-24 |
15,000 |
16,500 |
16,500 |
20,000 |
25-33 |
18,000 |
20,000 |
20,000 |
26,500 |
34-44 |
24,000 |
26,500 |
26,500 |
30,000 |
ตารางด้านบนเป็นค่าของ BTU ที่เหมาะสมกับความกว้างของห้องขนาดต่างๆ
1. คอมเพรสเซอร์ (Compressor)
1. สารทำความเย็น (Refrigerant)
สารทำความเย็น หรือเรียกตามภาษาบ้านเราว่าน้ำยาแอร์ ซึ่งเจ้าน้ำยาแอร์นี้เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้แอร์เย็น เพราะมันจะทำงานร่วมกับคอมเพรสเซอร์ด้านนอกห้อง โดยน้ำยาแอร์ที่นิยมใช้ในบ้านเราคือน้ำยา R-22 และน้ำยา R-410A แต่เนื่องจากกระแสของอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทำให้สารทำความเย็น R-32 เป็นสารทำความเย็นเจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนน้อยกว่าน้ำยา R-410A ถึง 3 เท่า และให้ประสิทธิภาพในการทำความเย็นมากกว่า น้ำยา R-22 ถึง 60% จึงช่วยประหยัดพลังงานได้มากขึ้นอีกด้วยInsert your text here
1. คอยล์ร้อน (Condensing unit)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำให้สารทำความเย็นเปลี่ยนสถานะจากไอเป็นของเหลว โดยการใช้พัดลมดูดอากาศมาระบายความร้อนให้กับสารทำความเย็น โดยคอยล์ร้อนจะทำงานร่วมกับ Compressor และจะติดตั้งอยู่ภายนอกอาคาร
1. คอยล์เย็น (Fan Coil Unit)
เป็นส่วนประกอบของแอร์ที่จะอยู่ภายในห้อง ทำหน้าที่ดูดซับความร้อนภายในห้อง ซึ่งภายในเครื่องประกอบด้วย แผงคอยล์เย็น และชุดมอเตอร์พัดลม ใช้ในการทำให้สารทำความเย็นเปลี่ยนสถานะจากของเหลวผสมไอ ให้กลายเป็นไออย่างสมบูรณ์ (ไออิ่มตัว) โดยการใช้ชุดมอเตอร์พัดลมดูดอากาศจากภายในห้องปรับอากาศผ่านแผงคอยล์เย็น ทำให้สารทำความเย็นได้รับความร้อนจากอากาศและเดือดกลายเป็นไอ ก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าไปยังคอมเพรสเซอร์ และเข้าสู่กระบวนการอัดเพื่อเพิ่มความดันอีกครั้ง
1. เทคโนโลยี INVERTER
1. SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio)
คือ ค่าของประสิทธิภาพในการประหยัดไฟในแอร์ระบบ INVERTER พบได้เฉพาะแอร์ที่ได้รับฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เท่านั้น การทดสอบแบบ SEER นั้นจะเป็นการทดสอบที่กำหนดให้อุณหภูมิภายนอกห้องไม่คงที่ เพราะแอร์ระบบนี้สามารถปรับความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์ได้ตามอุณหภูมิภายนอก โดยเครื่องปรับอากาศแบบ INVERTER ที่ผ่านการทดสอบจะต้องมีค่า SEERมากกว่า15หน่วย โดยหลักการพิจารณาค่า SEER บนฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 นั้น ตัวเลขยิ่งมีค่ามาก ยิ่งแสดงถึงประสิทธิภาพการใช้งาน และความสามารถในการประหยัดไฟที่มากกว่า โดยที่เพาเวอร์บายได้คัดเลือกเฉพาะแอร์ที่มีเทคโนโลยี INVERTER ที่มีค่า SEER สูง ให้แก่ลูกค้า ซึ่งทำให้ทุกคนมั่นใจได้ว่าจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ และช่วยประหยัดไฟได้มากขึ้น
1. ค่า EER (Energy Efficiency Ratio)
เป็นการทดสอบประสิทธิภาพในการประหยัดไฟฟ้าบนเครื่องปรับอากาศระบบทั่วไป (Fix Speed) โดยจะวัดอัตราส่วนของความเย็นที่ทำได้จริงเทียบกับกำลังไฟฟ้าทที่ต้องใช้ ซึ่งในขณะทดสอบอุณหภูมิ ภายนอกห้องจะถูกกำหนดให้คงที่โดยค่าเครื่องปรับกาศแบบ Fix Speed ที่ผ่านการทดสอบจะต้องมีค่ามากกว่า 12.85 หน่วย
2. ฉลาก มอก. (Thai Industrial Standard)
เป็นคำย่อมาจาก "มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม" หมายถึงข้อกำหนดที่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.)ได้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ผลิตในการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพในระดับที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด โดยเครื่องปรับอากาศที่เพาเวอร์บายได้รับฉลากมอก.มาอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์ดังนี้
1) ช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า และ สร้างความปลอดภัยในการนำไปใช้
2) ในกรณีที่ชำรุด ก็สามารถหาอะไหล่ได้ง่าย เพราะสินค้ามีมาตรฐานเดียวกัน ใช้ทดแทนกันได้ วิธีการบำรุงรักษาใกล้เคียงกัน ไม่ต้องหัดใช้สินค้าใหม่ทุกครั้งที่ซื้อ
3) ได้สินค้าคุณภาพดีขึ้นในราคาที่เป็นธรรมคุ้มค่ากับการใช้งาน
1. PM 2.5 Filter
PM 2.5 คืออนุภาคต่างๆ ที่มีขนาดเล็กมากๆ ถึง 2.5 ไมครอน ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจึงมีการพัฒนา PM2.5 ฟิลเตอร์ขึ้นในแอร์ระบบ INVERTER ซึ่งจะสามารถกรองสิ่งสกปรกที่ปะปนในอากาศได้ทั้ง อนุภาคฝุ่น ขนสัตว์ ควันบุหรี่ และแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการภูมิแพ้และโรคที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจต่างๆ
เป็นยังไงกันบ้างกับคำศัพท์คูลๆที่เราได้รู้กันไป การเรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับแอร์ในวันนี้ ก็น่าจะช่วยให้เพื่อนๆได้มีความเข้าใจ และเลือกใช้งาน รวมถึงการบำรุงรักษาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อความรู้ก็มีแล้ว จะชักช้าอยู่ใยเหล่าออเจ้า รีบมาที่เพาเวอร์บาย เพราะมีแอร์คุณภาพพร้อมเทคโนโลยี INVERTER มากมายหลายรุ่น ตอบโจทย์ทุกความต้องการ สินค้าดี มีคุณภาพ ราคาประหยัด เย็นทั้งกาย และเงินในกระเป๋า และยังสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยบริการจัดส่งตามไลฟ์ไสตล์ของคุณ
https://www.powerbuy.co.th/
เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้วแบบนี้ ทุกคนคงมีกิจกรรมคลายร้อนที่เตรียมเอามาใช้กัน ไม่ว่าจะเป็นออกไปทะเล บินไปเที่ยวประเทศที่ยังหนาวอยู่ แต่ด้วยความที่หน้าร้อนของไทยก็ไม่ใช่ช่วงเวลาสั้นๆ ไปเที่ยวกันถึงไหนต่อไหน สุดท้ายแล้วหลายคนก็คงหนีไม่พ้นกลับนอนตากแอร์ ดูทีวีอยู่บ้านหรอกใช่ไหมล่ะ
แน่นอนว่าเครื่องปรับอากาศเป็นไอเท็มที่แทบทุกบ้านจะต้องมีเพื่อสู้กับอากาศร้อนของประเทศไทยในช่วงนี้ (หรือจริงๆ ก็ร้อนทั้งปีนั่นแหละ!) วันนี้เราเลยมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศมาฝากกัน ทั้งสำหรับบ้านที่กำลังจะติดแอร์ใหม่ หรือกับบ้านที่ติดแอร์ไว้อยู่แล้ว เมื่อพร้อมแล้ว ไปพบกับผู้เชี่ยวชาญอย่างช่างแอร์ในตำนานกันเลยครับ!
ก่อนติดแอร์ เช็คค่า BTU ชัวร์หรือยัง?
สำหรับคนที่เตรียมจะติดแอร์ที่บ้าน อย่างแรกก็ต้องมาดูก่อนเลยว่าขนาดห้องของเรานั้นใหญ่ประมาณไหน เพราะแอร์แต่ละรุ่นก็จะมีประสิทธิภาพการทำงานได้ไม่เท่ากันเราเรียกว่าขนาดความสามารถการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ หรือค่า BTU นั่นเอง!
ถ้าค่า BTU สูงเกินไป จะทำให้ห้องมีความชื้นง่าย อยู่แล้วไม่สบายตัว ส่วนถ้า BTU ต่ำเกินไปก็จะทำให้แอร์ทำงานหนัก เปลืองพลังงาน แถมเสียเร็วด้วย ดังนั้นการดูค่า BTU ให้เหมาะสมกับขนาดห้องเลยสำคัญมากๆ
โดยทั่วไปค่า BTU ของแอร์จะเริ่มตั้งแต่ 9,000 ไปจนถึง 36,000 BTU แล้วแต่ขนาด ประเภท และตำแหน่งการรับแสงแดดของห้อง โดยทั่วไปจะใช้การคำนวณความกว้าง (เมตร) x ความยาว (เมตร) x ค่าตัวแปร โดยค่าตัวแปรจะขึ้นอยู่กับประเภทห้อง ดังนี้
700 – 800 : สำหรับห้องนอน หรือห้องที่มีความร้อนน้อย (ห้องที่ไม่โดนแดดหรือโดนเล็กน้อย ฝ้าต่ำ หรือห้องที่ใช้แอร์ช่วงกลางคืน)
800 – 900 : สำหรับห้องรับแขก หรือห้องที่มีความร้อนปานกลาง – มาก (ห้องที่โดนแดด อยู่ทิศตะวันตก หรือใช้แอร์ช่วงกลางวัน)
900 – 1,000 : สำหรับห้องออกกำลังกาย ห้องทำงาน หรือห้องที่มีความร้อนมาก หรือฝ้าสูง(ห้องที่โดนแดด อยู่ทิศตะวันตก อยู่ชั้นบนสุด หรือใช้แอร์ช่วงกลางวัน)
1,000 – 1,200 : สำหรับร้านค้า ร้านอาหารที่เปิดปิดประตูบ่อย ร้านทำผม หรือสำนักงานที่มีคนอยู่จำนวนมาก
ตัวอย่างการคำนวณ เช่น ห้องนอนขนาด 8 x 4 เมตร = 8 x 4 x 700 = 22,400 BTU นั่นเองจ้า
สูญเสียกันไปเท่าไหร่ กับคำว่าค่าไฟ
เครื่องปรับอากาศเป็นหนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทุกคนก็รู้กันว่ากินไฟเป็นอันดับต้นๆ ของบ้าน แล้วเราเคยสงสัยกันไหมว่าในบิลค่าไฟเราจ่ายไปแต่ละเดือนๆ นั้น เมื่อหักลบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ แล้ว เราจ่ายค่าแอร์แต่ละเดือนไปเท่าไหร่ มาลองดูกันตรงนี้
แอร์ขนาด 9,000 BTU เปิดวันละ 8 ชั่วโมง ค่าไฟจะประมาณเดือนละ 700 บาท
แอร์ขนาด 12,000 BTU เปิดวันละ 8 ชั่วโมง ค่าไฟจะประมาณเดือนละ 900 บาท
แอร์ขนาด15,000 BTU เปิดวันละ 8 ชั่วโมง ค่าไฟจะประมาณเดือนละ 1,100 บาท
แอร์ขนาด 18,000 BTU เปิดวันละ 8 ชั่วโมง ค่าไฟจะประมาณเดือนละ 1,300 บาท
แอร์ขนาด 20,000 BTU เปิดวันละ 8 ชั่วโมง ค่าไฟจะประมาณเดือนละ 1,500 บาท
แอร์ขนาด 25,000 BTU เปิดวันละ 8 ชั่วโมง ค่าไฟจะประมาณเดือนละ 1,800 บาท
นี่เป็นการคำนวณโดยประมาณของแอร์ติดผนังรุ่นธรรมดาเท่านั้นนะ ส่วนถ้าเป็นแอร์รุ่นที่เป็น Inverter ก็ช่วยประหยัดไปได้อีกประมาณ 30-35% เลยทีเดียว
ฮวงจุ้ยดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
ไม่ได้จะชวนมาดูดวงแต่อย่างใด เพียงแค่อยากจะบอกว่า ถ้าจะให้เย็นทั่วห้องไม่ว่าจะนั่งอยู่ตรงไหนก็อย่าลืม!! ว่าตำแหน่งติดแอร์เนี่ยก็สำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เลยนะ โดยพื้นฐานทั่วไปของแอร์ติดผนังก็คือ ควรติดไว้ที่ริมด้านใดด้านหนึ่งของห้อง ในด้านแนวนอนหรือแนวตั้งของห้องก็ได้
คำเตือน
ห้าม!! ติดแอร์ไว้กลางห้องเด็ดขาด เพราะจะทำให้ลมไปไม่ทั่วทั้งห้อง
ไม่ควร!! ติดแอร์ไว้เหนือประตู เพราะการเปิด-ปิดห้องจะทำให้ความเย็นออกไปด้านนอก ถ้าห้องไม่เย็นก็ไม่ต้องสงสัยกันเลย
ไม่ควร!! ติดแอร์ไว้บนหัวเตียง เพราะจะทำให้เย็นเกินไปและนอนไม่สบายตัว
ไม่ควร!! ติดแอร์ให้ชิดฝ้าหรือเพดานห้องมากเกินไป
โหมดต่างๆ ที่เรายังไม่เคยลองใช้
เคยสังเกตพวกโหมดต่างๆ บนรีโมทแอร์กันไหมว่ามันคืออะไร แล้วมันแตกต่างกันอย่างไรบ้าง จริงๆ แล้วแต่ละโหมดถูกออกแบบมาให้เหมาะกับช่วงเวลาและคนใช้ด้วยนะ ช่วงไหนร้อนจัด ช่วงไหนอากาศเฉยๆ หรือช่วงไหนขี้เกียจจะคิด จะต้องเปิดโหมดไหน ไปดูกัน!
Cooling Mode : โหมดทำความเย็นสำหรับคนขี้ร้อน หรือโดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนมากๆ เราสามารถตั้งค่าได้ทั้งอุณภูมิและความเร็วของพัดลม และเมื่อแอร์ทำให้ห้องมีอุณหภูมิถึงจุดที่เราตั้งไว้แล้วก็จะหยุดทำงานไปครู่หนึ่ง (หรือที่เรียกกันว่าแอร์ตัดนั่นแหละ)
Dry Mode : ทำงานคล้ายๆ Cooling Mode เพียงแต่เพิ่มการลดความชื้นเข้ามา ถ้ามีอุปกรณ์ในบ้านที่ไม่อยากให้อยู่ใกล้ความชื้น ลองใช้โหมดนี้ดู
Fan Mode : โหมดนี้สำหรับคนมีแฟน (ไม่ใช่!!) เป็นโหมดพัดลมตรงตัวเลย ไม่ได้ช่วยให้ห้องเราเย็นฉ่ำเหมือน 3 โหมดแรก แต่จะช่วยให้อากาศในห้องถ่ายเทได้ดีขึ้นเหมือนเวลาเราเปิดพัดลมนั่นเอง ช่วยลดความชื้นสะสมและลดกลิ่นอับได้อีกด้วยนะ
Auto Mode : เป็นโหมดที่สลับการทำงานไปเรื่อยๆ ระหว่างโหมดทำความเย็น (Cooling Mode) และโหมดลดความชื้น (Dry Mode) โดยอัตโนมัติตามสภาพอากาศ ถ้าห้องเย็นเกินไป เครื่องจะสลับไปทำ Dry Mode พอความชื้นลดลงก็สลับไปทำ Cooling Mode แทน โดยปกติเราจะไม่ค่อยได้เปิดโหมดนี้กันเพราะว่าห้องจะไม่ค่อยเย็นนั่นเอง
แอร์ Inverter ไม่ได้ประหยัดไฟเท่ากันหมด
เรารู้กันอยู่แล้วแหละว่าแอร์ที่ทำงานด้วยระบบ Inverter จะช่วยประหยัดค่าไฟมากกว่าแอร์ปกติไปได้เยอะ นั่นทำให้เราเห็นแอร์ Inverter ขายเกลื่อนตามท้องตลาด แต่สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้กันก็คือแอร์ Inverter นั้นมีอยู่หลายแบบ ซึ่งความแตกต่างก็มาจากส่วนประกอบข้างในที่ทำให้ประหยัดไฟได้ต่างกัน
ในแอร์ Inverter ทั่วไปมักจะใส่ส่วนประกอบที่ช่วยประหยัดพลังงานไว้ 2 ชิ้น นั่นก็คือแผงวงจรและคอมเพรสเซอร์ หรืออาจมี 3 ชิ้นแล้วแต่เทคโนโลยีการผลิตของแต่ละแบรนด์ แต่รู้หรือเปล่าว่าเราสามารถประหยัดไฟมากขึ้นได้อีก ด้วยแอร์แบบ Real Inverter ที่ใส่ส่วนประกอบช่วยประหยัดพลังงานลงไปถึง 4 ชิ้น ก็คือ
แผงวงจรอัจฉริยะ PAM : ไว้ใช้ควบคุมความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์และมอเตอร์ โดยการปรับเปลี่ยนความถี่ในการทำงาน เพื่อให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
มอเตอร์กระแสตรง : จะต่างกับแอร์ทั่วไปที่ใช้มอเตอร์กระแสสลับ เพราะจะมีความแม่นยำในการควบคุมความเร็วรอบมากกว่า และเปลี่ยนแปลงความเร็วรอบได้มีประสิทธิภาพกว่านั่นเอง
คอมเพรสเซอร์กระแสตรง DC : จุดเด่นคือสามารถปรับเปลี่ยนความเร็วรอบในการทำงานให้สัมพันธ์กับอุณหภูมิภายในห้อง ทำให้ช่วยให้ประหยัดพลังงานมากขึ้นไปอีก
วาล์วอิเล็กทรอนิกส์ EEV (Electronic Expansion Valve) : ควบคุมอัตราการไหลของสารทำความเย็น ให้วงจรสารทำความเย็นอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุด
และถ้าเป็นเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรุ่น Inverter ก็มั่นใจได้เลยว่าเป็นแอร์ Real Inverter มีส่วนประกอบช่วยประหยัดพลังงานครบทั้ง 4 ชิ้น ทำให้ประหยัดพลังงานและควบคุมอุณภูมิได้ดีกว่าแอร์ Inverter ทั่วไปแน่นอน
นอกจากนี้ในแอร์รุ่นใหม่อย่าง Mitsubishi Heavy Duty Inverter รุ่น Standard Inverter : YW Series นอกจากจะเป็น Real Inverter ที่ช่วยประหยัดพลังงานได้มากขึ้นและควบคุมอุณหภูมิได้ดีแล้ว ยังมีนวัตกรรมที่ช่วยให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากกว่าแอร์ทั่วไป เช่น
แผงวงจรเคลือบซิลิโคนภายในเครื่องปรับอากาศที่ป้องกันความชื้นและแมลง
ระบบการป้องกันไฟกระชาก ทนต่อแรงดันไฟกระชากถึง 470 โวลต์
ระบบ Jetflow ใบพัดแบบเดียวกับเครื่องบินเจ็ต สามารถจ่ายลมได้ในระยะไกล
โหมด Hi power ที่ช่วยให้ห้องเย็นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถทำงานในโหมดนี้ได้นานต่อเนื่องถึง 15 นาที
24-HOUR ION ปล่อยประจุลบตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยให้อากาศสดชื่นเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
แผงคอยล์เย็นป้องกันการกัดกร่อนจากกรดหรือด่าง และมีระบบทำความสะอาดที่ช่วยให้แผงคอยล์เย็นแห้งเพื่อลดการเกิดเชื้อรา
คอยล์ทองแดงทั้งระบบที่ช่วยป้องกันการกัดกร่อนของน้ำทะเล และยังช่วยยืดอายุการใช้งานของแอร์ได้อีกด้วย!
ทั้งเย็นสบายแถมยังช่วยลดค่าไฟได้มากกว่าเดิมแบบนี้ อากาศร้อนแค่ไหนก็ไม่กลัวแล้วจ้าาาา
ที่มา : www.mangozero.com Homeest, The Air Cond, MThai, Kapook, Kanichikoong
ที่อยู่ เลขที่ 99 ถนนบรมราชชนนี แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10170
วันทำการ : วันจันทร์ – วันเสาร์ , เวลา : 8.30 – 17.30 น.
สั่งซื้อโทร.090-005-0050 ไลน์ @deepromair
หน้าที่เข้าชม | 1,465,036 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 898,269 ครั้ง |
เปิดร้าน | 6 มี.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |